รหัสวิชา 3105-2008 ชื่อวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คำอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับโครงสร้างของภาษา องค์ประกอบของโปรแกรม คำสั่ง ตัวแปร โฟลชาร์ต ฟังก์ชั่น โปรแกรมย่อย ส่วนประกอบของโปรแกรม วิเคราะห์วางแผนและเขียนโปรแกรม ตรวจสอบแก้ไขโปรแกรมและประยุกต์ใช้งานโดยเลือกใช้ภาษาซีหรือภาษาอื่นๆ
วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ใบงานที่ 3
ใบงานที่ 3.1
การจัดการข้อมูลและข้อความ
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลลิสต์ได้
การจัดการลิสต์
การจัดข้อมูลแบบลิตส์ มี 5 แบบได้แก่
1. การสร้างลิสต์ หมายถึง การสร้างตัวแปรเก็บข้อมูลแบบลิสต์ มีวิธีการ คือ การกำหนดชื่อลิสต์ และมีเครื่องหมายเท่ากับ (=) จากนั้นใช้เครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิด ([) แล้วมีข้อมูลที่ต้องการเก็บอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิดและปิด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้เพียงเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นกลางระหว่างข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลชนิดสายอักขระให้พิมพ์ไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ("")
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิสต์ = [ ข้อมูลลำดับที่0, ข้อมูลลำดับที่1, ข้อมูลลำดับที่2, ...ข้อมูลลำดับสุดท้าย ]
ตัวแปรลิตส์มีการเก็บข้อมูล 4 ลักษณะได้แก่
1.1 ลิตส์แบบเก็บข้อมุลเลขจำนวนอย่างเดียว
ทดลอง
MyList = [2550, 2551, 2552, 2553, 2554]
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
1.2 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลข้อความอย่างเดียว
ทดลอง
MyList = ['ant', 'dog', 'cat', 'rat', 'bird']
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
1.3 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลตัวเลขผสมกับข้อมูลข้อความ
ทดลอง
MyList = ['ant', 2, 3, 'rat']
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
1.4 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลลิสต์ย่อย คือ มีการเก็บข้อมูลลิตส์ชุดย่อยๆ อยู่ภายในตัวแปรลิตส์ ข้อมูลทั้งหมดอาจเป็นตัวแปรลิตส์ย่อยทั้งหมด หรือผสมกับข้อมูลเลขจำนวน ข้อความก็ได้
ทดลอง
SubList = [['Python', 'Programming','Language'],['This is', 'a sublist']]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………
SubList = [1, 2,3,["This is", "a sublist"]]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………
SubList = ['Programming','Language',['This is', 'a sublist']]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………
2. การเข้าถึงลิสต์ มีวิธีการง่าย ๆ ตามหลักการของอะเรย์ที่ใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งข้อมูล]
แบบที่ 1 เข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งเริ่มต้นไปหาข้อมูลลำดับสุดท้าย โดยการใช้ดัชนี 0 สำหรับข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น และสำหรับตำแหน่งต่อ ๆ ไปให้เพิ่มค่าดัชนีครั้ง 1 ไปเรื่อย ๆ
ทดลอง
MyList = [“ant”, “dog”, “cat”, “rat”, “bird”]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print MyList[0]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print MyList[1]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print MyList[2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print MyList[3]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print MyList[4]
ผลการทดลอง………………………………………………………………
แบบที่ 2 การเข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูลลำดับสุดท้ายไปหาข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น โดยการใช้ดัชนีที่เป็นค่าลบชี้ข้อมูลตำแหน่งสุดท้ายที่-1 และตำแหน่งต่อไปลดค่าดัชนีลงครั้งละ1ไปเรื่อย ๆ
ทดลอง
MyList = [“ant”, “dog”, “cat”, “rat”, “bird”]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print MyList[-5]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print MyList[-4]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print MyList[-3]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print MyList[-2]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print MyList[-1]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………………
แบบที่ 3การเข้าถึงข้อมูลลิสต์ย่อย การเข้าถึงข้อมูลในลิสต์ย่อย ทำได้โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลิสต์ย่อยดังนี้
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งของลิสต์ย่อย][ตำแหน่งข้อมูล]
ทดลอง
SubList = [“Programming","Language",["This is", "a sublist"]]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print Sublist [2][1]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………………
3. การกำหนดตำแหน่งของลิสต์
การกำหนดช่วงตำแหน่งของลิสต์ ในภาษาไพธอน เรียกว่า slicing คือการกำหนดเซตย่อยของลิสต์ เพื่อให้ผู้ใช้ เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการกำหนดข้อมูลเริ่มต้นและข้อมูลสุดท้ายที่ต้องการ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นข้อมูลที่มีตำแหน่งเรียงลำดับต่อเนื่องกัน การเข้าถึงข้อมูลที่กำหนดช่วงไว้ใช้วิธีเดียวกับการเข้าถึงข้อมูลปกติ คือ ใช้การระบุดัชนี อยู่ในวงเล็บเหลี่ยม
ทดลอง
monthList = ["January", "February", "March", "April", "May", "June","July",
"August","September", "October", "November", "December"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………
firstHalf = monthList[:6]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………
secondHalf = monthList[6:]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………
midHalf = monthList[4:9]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………
print ('firstHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………
print (firstHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print ('secondHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print (secondHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print ('midHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
print (midHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………
4. การเพิ่มและลบข้อมูลลิสต์
การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของโปรแกรมภาษาไพธอน ทำได้โดยการใช้คำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว
การเพิ่มข้อมูล
แบบที่ 1 การเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์. append( ข้อมูลที่เพิ่มเข้าในลิตส์)
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
Mylist.append(“h”)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
ผลการทดลอง…………………………………………………………………
แบบที่ 2 การแทรกข้อมูลใหม่ หรือการเพิ่มข้อมูลใหม่โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลำดับที่ต้องการ
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.insert(ตำแหน่งข้อมูล, ข้อมูล)
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
Mylist.insert(3, *)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
ผลการทดลอง………………………………………………………………
แบบที่ 3 การเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูล ด้วยข้อมูลที่เป็นลิสต์
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.extent(ชื่อลิตส์ย่อย)
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
Sublist=[1,2,3]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
Mylist.extent(Sublist)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
ผลการทดลอง………………………………………………………………
5. การลบข้อมูล
แบบที่ 1 การลบโดยการระบุตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.pop ( ตำแหน่งข้อมูลที่ต้องการลบ )
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………
Mylist.pop(3)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
ผลการทดลอง…………………………………………………………
แบบที่ 2 การลบโดยการระบุชื่อข้อมูลที่ต้องการลบ
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.remove (ข้อมูลที่ต้องการลบ)
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
Mylist.remove (“a”)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
ผลการทดลอง…………………………………………………………………
แบบที่ 3 การลบข้อมูลเป็นจำนวนมากโดยระบุดัชนีตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสุดท้ายของข้อมูลที่จะลบ
รุปแบบคำสั่ง
del ชื่อลิตส์ _[ดัชนีตำแหน่งแรก : ดัชนีตำแหน่งสุดท้าย]
ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
del Mylist [0:2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
del Mylist [-1 : -2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………
5. การเรียงลำดับ การเรียงลำดับข้อมูลลิสต์คือการจัดเรียงลำดับข้อมูลในลิสต์ การเรียงลำดับมีสองแบบได้แก่
แบบที่ 1 เรียงลำดับจากค่าน้อยไปค่ามากสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากตัวแรกไปหาอักษรตัวสุดท้าย
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.sort()
แบบที่ 2 เรียงลำดับจากค่ามากไปค่าน้อยสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความใช้การเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากสุดท้ายไปหาลำดับแรก
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.reverse()
ทดลอง
Mylist = ["a", "c", "z", "d", "3", "30", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
Mylist.sort()
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
Mylist.reverse ()
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………
=======================================================
ใบงานที่ 3.2
การจัดการทูเพิล
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลทูเพิลได้
ทูเพิลมีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับลิสต์ คือ สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก ๆ ในตัวแปรเดียวกัน แต่ทูเพิลจะเก็บข้อมูลคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ทำให้ตำแหน่งของข้อมูลคงที่แน่นอนการเข้าถึงข้อมูลของทรูเพิลจึงได้รวดเร็วกว่า การเข้าถึงข้อมูลของลิตส์ การเข้าถึงข้อมูลโดยการระบุเลขดัชนีเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกัน และไม่สามารถเพิ่มลบข้อมูลได้โดยตรง จึงทำให้ต้องรู้ นอกจากนี้เมื่อต้องการเปลี่ยนชนิดข้อมูลจากทูเพิลไปเป็นลิสต์ สามารถใช้ฟังก์ชัน list() ได้ในทางกลับกัน สามารถเปลี่ยนจากลิสต์เป็นทูเพิลได้เช่นเดียวกัน ด้วยฟังก์ชัน tuple() ซึ่งเหมาะสำหรับแก้ปัญหาในกรณีที่ทูเพิลไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ จึงเปลี่ยนให้เป็นลิสต์เสียก่อนแล้วจึงเปลี่ยนแปลงข้อมูล หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนกลับเป็นทูเพิลดังเดิม คำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทูเพิล มีดังตัวอย่างต่อไปนี้
1.การสร้างทรูเพิล มายถึง การสร้างตัวแปรเก็บข้อมูลแบบทรูเพิล มีวิธีการ คือ การกำหนดชื่อทรูเพิล และมีเครื่องหมายเท่ากับ (=) จากนั้นใช้เครื่องหมายวงเล็บเปิด “(“ ข้อมูลที่ต้องการเก็บอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บเปิดและปิด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้เพียงเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นกลางระหว่างข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลชนิดสายอักขระให้พิมพ์ไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ("") และเปิดท้ายด้วยเครื่องหมายวงเล็บปิด “)”
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อทรูเพิล= ( ข้อมูลลำดับที่0, ข้อมูลลำดับที่1, ข้อมูลลำดับที่2, ...,ข้อมูลลำดับสุดท้าย )
2. การเข้าถึงทรูเพิล
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อทรูเพิล [ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูล]
3. การแปลงลิสต์เป็นทูเพิล
ชื่อตัวแปรลิสต์ = tuple ( ชื่อตัวแปรลิตส์ )
4. การแปลงทูเพิลเป็นลิสต์
ชื่อตัวแปรลิตส์ = list ( ชื่อตัวแปรลิสต์)
ทดลอง
#!/usr/bin/python
MyTuple1 = ("Somchai","Somsak","Somporn", "Somsri")
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print ('MyTuple1 : =========================')
print (MyTuple1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print ('MyTuple1 : 1=======================')
print MyTuple1[1]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print ('MyTuple1 : -1=====================')
print MyTuple1[-1]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
Mylist1 = list(MyTuple1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print ('Mylist1===========================')
print (Mylist1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
Mylist1.pop (0)
print ('Mylist1===========================')
print (Mylist1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
MyTuple1 = tuple(Mylist1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print ('MyTuple1===========================')
print (MyTuple1)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
======================================================
ใบงานที่ 3.3
การจัดการดิกชันนารี
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลดิกชันนารีได้
การจัดการดิกชันนารี
1. โครงสร้างของดิกชันนารี
โครงสร้างของดิกชันนารีไม่เหมือนกับโครงสร้างของลิสต์หรือทูเพิล แต่มีโครงสร้างของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ในลักษณะที่ดิกชันนารีจะต้องมีคีย์และข้อมูล เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ จะขอยกตัวอย่างจากคำสั่ง
numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
คีย์ ได้แก่ 1, 2, 3, 4
ข้อมูล ได้แก่ 'one', 'two', 'three', 'four'
แต่ทั้งคีย์และข้อมูลจะต้องไปด้วยกัน เช่น ข้อมูลของคีย์ 1 หมายถึง 'one' เท่านั้น
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อดิกชันนารี = {คีย์ 1:’ข้อมูล1’,คีย์ 2:’ข้อมูล2’,คีย์ 3:’ข้อมูล3’...คีย์ N:’ข้อมูลN’}
2. การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในดิกชันนารี
การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในดิกชันนารี ต้องระบุคีย์ที่ต้องการจะป้อนข้อมูลเข้าไปในตำแหน่งของคีย์ใด ในกรณีที่ไม่ตรงกับชื่อคีย์ที่อยู่ในดิกชันนารีเดิม โปรแกรมภาษาไพธอนจะสร้างคีย์ใหม่ขึ้นมาและจะเก็บข้อมูลนั้นเข้าไปในคีย์นั้น แต่ถ้ามีชื่อคีย์อยู่ในดิกชันนารีอยู่แล้ว ข้อมูลจะเข้าไปแทนที่ข้อมูลเดิมในตำแหน่งของคีย์ที่ระบุ ซึ่งใช้สำหรับการแก้ไขข้อมูลภายในตัวแปรนั้น
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อดิกชันนารี [คีย์] = ข้อมูล
3. การนำข้อมูลดิกชันนารีแสดงผล
ข้อมูลในดิกชันนารีสามารถเข้าถึงและให้แสดงผลได้หลายวิธี วิธีง่าย ๆ ได้แก่ การระบุชื่อคีย์ให้อยู่ในวงเล็บเหลี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ เมท็อด items() เพื่อให้แสดงผลทั้งชื่อคีย์และข้อมูลทั้งหมดออกมาแสดง
3.1 การขอคีย์ของดิกชันนารี ใช้เมท็อด keys() พื่อส่งกลับลิสต์ชื่อคีย์ของดิกชันนารี
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.keys()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล = ชื่อดิกชันนารี.keys ()
3.2 การขอข้อมูลของดิกชันนารี ใช้เมท็อด values() เพื่อส่งกลับลิสต์ข้อมูลของดิกชันนารี
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.values()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล =ชื่อดิกชันนารี.values()
3.3 การแสดงผลคีย์ของดิกชันนารี ใช้เมท็อด items() พื่อส่งกลับลิสต์ชื่อคีย์และข้อมูลของดิกชันนารีกลับมาแสดง
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.items()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล = ชื่อดิกชันนารี.items()
ทดลอง
#!/usr/bin/python
numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.keys())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.values ========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.values())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.items =========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.items())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
#!/usr/bin/python
numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
numberDic[5]=’five’
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.keys())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.values ========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.values())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print('numberDic.items =========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
print (numberDic.items())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
======================================================
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น