วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

โปรแกรมรหัสผ่าน

1 : #!/usr/local/bin/python3.5
2 : # -*- coding: UTF-8 -*-

3 : import os
4 : os.system('clear')

5 : buf = raw_input("ป้อนรหัสผ่าน 4 หลัก : ")
6 : table = {'0001': 'ant man' , '0002':'iron man', '0003':'riderX' }

7 : for key, name in table.items():
8 :        if (key== buf):
9 :            print('{0:10}'.format(name))





วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 5

จุดประสงค์
1. เพื่อให้สร้างเมนูโปรแกรมได้
2. สร้างโปรแกรมย่อยได้




วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 3



ใบงานที่ 3.1

การจัดการข้อมูลและข้อความ

จุดประสงค์

        1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลลิสต์ได้

การจัดการลิสต์

การจัดข้อมูลแบบลิตส์ มี 5 แบบได้แก่

        1. การสร้างลิสต์ หมายถึง การสร้างตัวแปรเก็บข้อมูลแบบลิสต์ มีวิธีการ คือ การกำหนดชื่อลิสต์ และมีเครื่องหมายเท่ากับ (=) จากนั้นใช้เครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิด ([) แล้วมีข้อมูลที่ต้องการเก็บอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิดและปิด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้เพียงเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นกลางระหว่างข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลชนิดสายอักขระให้พิมพ์ไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ("")

รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิสต์ = [ ข้อมูลลำดับที่0, ข้อมูลลำดับที่1, ข้อมูลลำดับที่2, ...ข้อมูลลำดับสุดท้าย ]

ตัวแปรลิตส์มีการเก็บข้อมูล 4 ลักษณะได้แก่

        1.1 ลิตส์แบบเก็บข้อมุลเลขจำนวนอย่างเดียว
ทดลอง

MyList = [2550, 2551, 2552, 2553, 2554]
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………


        1.2 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลข้อความอย่างเดียว
ทดลอง

MyList = ['ant', 'dog', 'cat', 'rat', 'bird']
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………


        1.3 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลตัวเลขผสมกับข้อมูลข้อความ
ทดลอง

MyList = ['ant', 2, 3, 'rat']
ผลการทดลอง…………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………



        1.4 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลลิสต์ย่อย คือ มีการเก็บข้อมูลลิตส์ชุดย่อยๆ อยู่ภายในตัวแปรลิตส์ ข้อมูลทั้งหมดอาจเป็นตัวแปรลิตส์ย่อยทั้งหมด หรือผสมกับข้อมูลเลขจำนวน ข้อความก็ได้
ทดลอง

SubList = [['Python', 'Programming','Language'],['This is', 'a sublist']]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………

SubList = [1, 2,3,["This is", "a sublist"]]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………

SubList = ['Programming','Language',['This is', 'a sublist']]
ผลการทดลอง……………………………………………………………
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………


        2. การเข้าถึงลิสต์ มีวิธีการง่าย ๆ ตามหลักการของอะเรย์ที่ใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งข้อมูล]

        แบบที่ 1 เข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งเริ่มต้นไปหาข้อมูลลำดับสุดท้าย โดยการใช้ดัชนี 0 สำหรับข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น และสำหรับตำแหน่งต่อ ๆ ไปให้เพิ่มค่าดัชนีครั้ง 1 ไปเรื่อย ๆ
ทดลอง

MyList = [“ant”, “dog”, “cat”, “rat”, “bird”]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

print MyList[0]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

print MyList[1]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

print MyList[2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

print MyList[3]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………


print MyList[4]
ผลการทดลอง………………………………………………………………


        แบบที่ 2 การเข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูลลำดับสุดท้ายไปหาข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น โดยการใช้ดัชนีที่เป็นค่าลบชี้ข้อมูลตำแหน่งสุดท้ายที่-1 และตำแหน่งต่อไปลดค่าดัชนีลงครั้งละ1ไปเรื่อย ๆ
ทดลอง

MyList = [“ant”, “dog”, “cat”, “rat”, “bird”]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print MyList[-5]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print MyList[-4]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print MyList[-3]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print MyList[-2]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print MyList[-1]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

ผลการทดลอง……………………………………………………………………
        แบบที่ 3การเข้าถึงข้อมูลลิสต์ย่อย การเข้าถึงข้อมูลในลิสต์ย่อย ทำได้โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลิสต์ย่อยดังนี้
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งของลิสต์ย่อย][ตำแหน่งข้อมูล]
ทดลอง

SubList = [“Programming","Language",["This is", "a sublist"]]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

print Sublist [2][1]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

ผลการทดลอง……………………………………………………………………

        3. การกำหนดตำแหน่งของลิสต์
        การกำหนดช่วงตำแหน่งของลิสต์ ในภาษาไพธอน เรียกว่า slicing คือการกำหนดเซตย่อยของลิสต์ เพื่อให้ผู้ใช้ เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการกำหนดข้อมูลเริ่มต้นและข้อมูลสุดท้ายที่ต้องการ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นข้อมูลที่มีตำแหน่งเรียงลำดับต่อเนื่องกัน การเข้าถึงข้อมูลที่กำหนดช่วงไว้ใช้วิธีเดียวกับการเข้าถึงข้อมูลปกติ คือ ใช้การระบุดัชนี อยู่ในวงเล็บเหลี่ยม
ทดลอง


monthList = ["January", "February", "March", "April", "May", "June","July",
"August","September", "October", "November", "December"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………

firstHalf = monthList[:6]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………

secondHalf = monthList[6:]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………

midHalf = monthList[4:9]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………

print ('firstHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………


print (firstHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………


print ('secondHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………


print (secondHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………


print ('midHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………


print (midHalf)
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………
ผลการทดลอง……………………………………………………………

4. การเพิ่มและลบข้อมูลลิสต์
การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของโปรแกรมภาษาไพธอน ทำได้โดยการใช้คำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว

การเพิ่มข้อมูล
แบบที่ 1 การเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์. append( ข้อมูลที่เพิ่มเข้าในลิตส์)

ทดลอง

Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………………

Mylist.append(“h”)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………

ผลการทดลอง…………………………………………………………………

แบบที่ 2 การแทรกข้อมูลใหม่ หรือการเพิ่มข้อมูลใหม่โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลำดับที่ต้องการ
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.insert(ตำแหน่งข้อมูล, ข้อมูล)

ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

Mylist.insert(3, *)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

ผลการทดลอง………………………………………………………………

แบบที่ 3 การเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูล ด้วยข้อมูลที่เป็นลิสต์
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.extent(ชื่อลิตส์ย่อย)

ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

Sublist=[1,2,3]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………

Mylist.extent(Sublist)
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………


print Mylist

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………
ผลการทดลอง………………………………………………………………

5. การลบข้อมูล
แบบที่ 1 การลบโดยการระบุตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.pop ( ตำแหน่งข้อมูลที่ต้องการลบ )

ทดลอง

Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง……………………………………………………

Mylist.pop(3)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………
ผลการทดลอง…………………………………………………………

แบบที่ 2 การลบโดยการระบุชื่อข้อมูลที่ต้องการลบ
รุปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.remove (ข้อมูลที่ต้องการลบ)

ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………… 
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………
Mylist.remove (“a”)
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง…………………………………………………………

ผลการทดลอง…………………………………………………………………


แบบที่ 3 การลบข้อมูลเป็นจำนวนมากโดยระบุดัชนีตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสุดท้ายของข้อมูลที่จะลบ
รุปแบบคำสั่ง
del ชื่อลิตส์ _[ดัชนีตำแหน่งแรก : ดัชนีตำแหน่งสุดท้าย]

ทดลอง
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

del Mylist [0:2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

del Mylist [-1 : -2]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

ผลการทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………


5. การเรียงลำดับ การเรียงลำดับข้อมูลลิสต์คือการจัดเรียงลำดับข้อมูลในลิสต์ การเรียงลำดับมีสองแบบได้แก่
แบบที่ 1 เรียงลำดับจากค่าน้อยไปค่ามากสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากตัวแรกไปหาอักษรตัวสุดท้าย
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.sort()

แบบที่ 2 เรียงลำดับจากค่ามากไปค่าน้อยสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความใช้การเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากสุดท้ายไปหาลำดับแรก
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.reverse()

ทดลอง
Mylist = ["a", "c", "z", "d", "3", "30", "g"]
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

Mylist.sort()
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

Mylist.reverse ()
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print Mylist
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

ผลการทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………

 =======================================================
ใบงานที่ 3.2
การจัดการทูเพิล
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลทูเพิลได้


       ทูเพิลมีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับลิสต์ คือ สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก ๆ ในตัวแปรเดียวกัน แต่ทูเพิลจะเก็บข้อมูลคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ทำให้ตำแหน่งของข้อมูลคงที่แน่นอนการเข้าถึงข้อมูลของทรูเพิลจึงได้รวดเร็วกว่า การเข้าถึงข้อมูลของลิตส์ การเข้าถึงข้อมูลโดยการระบุเลขดัชนีเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกัน     และไม่สามารถเพิ่มลบข้อมูลได้โดยตรง จึงทำให้ต้องรู้  นอกจากนี้เมื่อต้องการเปลี่ยนชนิดข้อมูลจากทูเพิลไปเป็นลิสต์ สามารถใช้ฟังก์ชัน list() ได้ในทางกลับกัน สามารถเปลี่ยนจากลิสต์เป็นทูเพิลได้เช่นเดียวกัน ด้วยฟังก์ชัน tuple() ซึ่งเหมาะสำหรับแก้ปัญหาในกรณีที่ทูเพิลไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ จึงเปลี่ยนให้เป็นลิสต์เสียก่อนแล้วจึงเปลี่ยนแปลงข้อมูล หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนกลับเป็นทูเพิลดังเดิม คำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทูเพิล มีดังตัวอย่างต่อไปนี้

1.การสร้างทรูเพิล มายถึง การสร้างตัวแปรเก็บข้อมูลแบบทรูเพิล มีวิธีการ คือ การกำหนดชื่อทรูเพิล และมีเครื่องหมายเท่ากับ (=) จากนั้นใช้เครื่องหมายวงเล็บเปิด “(“ ข้อมูลที่ต้องการเก็บอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บเปิดและปิด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้เพียงเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นกลางระหว่างข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลชนิดสายอักขระให้พิมพ์ไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ("") และเปิดท้ายด้วยเครื่องหมายวงเล็บปิด “)”

รูปแบบคำสั่ง
ชื่อทรูเพิล= ( ข้อมูลลำดับที่0, ข้อมูลลำดับที่1, ข้อมูลลำดับที่2, ...,ข้อมูลลำดับสุดท้าย )


2. การเข้าถึงทรูเพิล
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อทรูเพิล [ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูล]

3. การแปลงลิสต์เป็นทูเพิล
ชื่อตัวแปรลิสต์ = tuple ( ชื่อตัวแปรลิตส์ )

4. การแปลงทูเพิลเป็นลิสต์
ชื่อตัวแปรลิตส์ = list ( ชื่อตัวแปรลิสต์)
ทดลอง


#!/usr/bin/python

MyTuple1 = ("Somchai","Somsak","Somporn", "Somsri")

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print ('MyTuple1 : =========================')

print (MyTuple1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print ('MyTuple1 : 1=======================')

print MyTuple1[1]

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print ('MyTuple1 : -1=====================')

print MyTuple1[-1]

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………


Mylist1 = list(MyTuple1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print ('Mylist1===========================')

print (Mylist1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

Mylist1.pop (0)

print ('Mylist1===========================')

print (Mylist1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………



MyTuple1 = tuple(Mylist1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print ('MyTuple1===========================')

print (MyTuple1)

การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

======================================================
ใบงานที่ 3.3
การจัดการดิกชันนารี

จุดประสงค์

1. นักเรียนสามารถจัดการข้อมูลดิกชันนารีได้

การจัดการดิกชันนารี
1. โครงสร้างของดิกชันนารี

        โครงสร้างของดิกชันนารีไม่เหมือนกับโครงสร้างของลิสต์หรือทูเพิล แต่มีโครงสร้างของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ในลักษณะที่ดิกชันนารีจะต้องมีคีย์และข้อมูล เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ จะขอยกตัวอย่างจากคำสั่ง

numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
คีย์ ได้แก่ 1, 2, 3, 4
ข้อมูล ได้แก่ 'one', 'two', 'three', 'four'
แต่ทั้งคีย์และข้อมูลจะต้องไปด้วยกัน เช่น ข้อมูลของคีย์ 1 หมายถึง 'one' เท่านั้น

รูปแบบคำสั่ง
ชื่อดิกชันนารี = {คีย์ 1:’ข้อมูล1’,คีย์ 2:’ข้อมูล2’,คีย์ 3:’ข้อมูล3’...คีย์ N:’ข้อมูลN’}

2. การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในดิกชันนารี
       การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในดิกชันนารี ต้องระบุคีย์ที่ต้องการจะป้อนข้อมูลเข้าไปในตำแหน่งของคีย์ใด ในกรณีที่ไม่ตรงกับชื่อคีย์ที่อยู่ในดิกชันนารีเดิม โปรแกรมภาษาไพธอนจะสร้างคีย์ใหม่ขึ้นมาและจะเก็บข้อมูลนั้นเข้าไปในคีย์นั้น แต่ถ้ามีชื่อคีย์อยู่ในดิกชันนารีอยู่แล้ว ข้อมูลจะเข้าไปแทนที่ข้อมูลเดิมในตำแหน่งของคีย์ที่ระบุ ซึ่งใช้สำหรับการแก้ไขข้อมูลภายในตัวแปรนั้น
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อดิกชันนารี [คีย์] = ข้อมูล

3. การนำข้อมูลดิกชันนารีแสดงผล
        ข้อมูลในดิกชันนารีสามารถเข้าถึงและให้แสดงผลได้หลายวิธี วิธีง่าย ๆ ได้แก่ การระบุชื่อคีย์ให้อยู่ในวงเล็บเหลี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ เมท็อด items()  เพื่อให้แสดงผลทั้งชื่อคีย์และข้อมูลทั้งหมดออกมาแสดง

3.1 การขอคีย์ของดิกชันนารี  ใช้เมท็อด keys() พื่อส่งกลับลิสต์ชื่อคีย์ของดิกชันนารี
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.keys()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล = ชื่อดิกชันนารี.keys ()

3.2 การขอข้อมูลของดิกชันนารี ใช้เมท็อด values() เพื่อส่งกลับลิสต์ข้อมูลของดิกชันนารี
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.values()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล =ชื่อดิกชันนารี.values()

3.3 การแสดงผลคีย์ของดิกชันนารี  ใช้เมท็อด items() พื่อส่งกลับลิสต์ชื่อคีย์และข้อมูลของดิกชันนารีกลับมาแสดง
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการข้อมูล ชื่อดิกชันนารี.items()
ตัวแปรที่ต้องการข้อมูล = ชื่อดิกชันนารี.items()

ทดลอง

#!/usr/bin/python
numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.keys())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.values ========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.values())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.items =========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.items())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………
#!/usr/bin/python
numberDic = {1 : 'one', 2 : 'two', 3 : 'three', 4 : 'four'}
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

numberDic[5]=’five’
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.keys ==========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.keys())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.values ========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.values())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print('numberDic.items =========================================')
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………

print (numberDic.items())
การทำงานของคำสั่ง………………………………………………………………………………………………………


======================================================

วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 2 ตัวแปร อินพุต เอาต์พุต ในภาษาไพธอน

จุดประสงค์เพื่อให้
            1. เขียนโปรแกรมประกาศตัวแปรภาษาไพธอนได้
            2. เขียนโปรแกรมรับค่าอินพุตจากคีย์บอร์ด และเก็บลงตัวแปรได้
            3. เขียนโปรแกรมส่งค่าจากตัวแปรไปแสดงที่เอาต์พุตได้

คำสั่งที่ 1 จงเขียนโปรแกรมที่ 1 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่ 1
 
          #!/usr/bin/python
          decimalvar = 10
          print "decimalvar = 10 -->", decimalvar
          octal=010
          print "octalvar = 010 -->",octal
          hexadecimalvar=0x10
          print "hexadecimalvar=0x10 -->", hexadecimalvar
          longvar = 417324698473L
          print "longvar = 417324698473L -->", longvar

          print"--------------------------------------"
          decimalvar = -10
          print "decimalvar = -10 -->", decimalvar
          octal= -010
          print "octalvar = -010 -->",octal
          hexadecimalvar=-0x10
          print "hexadecimalvar= -0x10 -->", hexadecimalvar
          longvar = -417324698473L
          print "longvar = -417324698473L -->", longvar

          print"--------------------------------------"
          floatingvar = 3e2
          print "floatingvar = 3e2 -->", floatingvar
          floatingvar = 3e-2
          print "floatingvar = 3e-2 -->", floatingvar
          floatingvar = 3.5e2
          print "floatingvar = 3.5e2 -->", floatingvar
          floatingvar = 3.5e-2
          print "floatingvar = 3.5e-2 -->", floatingvar
          print"--------------------------------------"
          floatingvar = -35e2
          print "floatingvar = -3e2 -->", floatingvar
          floatingvar = -3e-2
          print "floatingvar = -3e2 -->", floatingvar
          floatingvar = -3.5e2
          print "floatingvar = -3.5e2 -->", floatingvar
          floatingvar = -3.5e-2
          print "floatingvar = -3.5e-2 -->", floatingvar


คำสั่งที่ 2 จงเขียนโปรแกรมที่ 2 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

 โปรแกรมที่ 2

          #!/usr/bin/python
          str1 = 'This is a literal string'
          str2 = "This is another string"
          str3 = "I'm a teacher"
          str4 = 'I don\'t like VB'
          str5 = "This is an example of  \
          two lines string"
          print str1
          print str2
          print str3
          print str4
          print str5 

คำสั่งที่ 3 จงเขียนโปรแกรมที่ 3 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่ 3

          #!/usr/bin/python 
          fruits = ["banana","papaya","orange","apple","mango"] 
          print fruits
          print fruits[0] 
          print fruits[1] 
          print fruits[-1] 
          print fruits[-3]
 


คำสั่งที่ 4 จงเขียนโปรแกรมที่ 4 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่ 4

          #!/usr/bin/python          animals = ("monkey", "rabbit", "cat", "kangaroo","chicken")
          print animals
          print animals[0]
          print animals[1]
          print animals[-1]
          print animals[-3]


คำสั่งที่ 5 จงเขียนโปรแกรมที่ 5 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่ 5

          #!/usr/bin/python 
          name={'Dad':'Somchai','Mom':'Somsri','Bro':'John'}
          print name          print name['Dad'] 
          print name['Mom'] 
          age={'Dad':42,'Mom':40} 
          print age['Dad']
          print age['Dad']+ age['Mom']


คำสั่งที่ 6 จงเขียนโปรแกรมที่ 6 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่ 6
          #!/usr/bin/python
          # -*- coding: utf-8 -*-
          name = raw_input("กรุณาป้อนชื่อ : ")
          age = input("กรุณาป้อนอายุ : ")
          print "==============" 
          print "ชื่อ : ",name 
          print "อายุ : ",age

คำสั่งที่ 7 จงเขียนโปรแกรมที่ 7 แล้ว run โปรแกรม และเก็บภาพเพื่อนำประกอบการอธิบายรายละเอียดคำสั่ง ลงในBlogger

โปรแกรมที่7

          #!/usr/bin/python
          # -*- coding: utf-8 -*-
           print  3 + 4
           print  3, 4, 3 + 4
           pi = 3.141
           print "ค่า pi ที่กำหนด = ",pi 
          print"------------------------------------------------------------------" 
          print  "Computer 's World"
          print 'Computer \'s World'
          print  'บางคนพูดว่า "ภาษาไพธอนเป็นภาษาที่เขียนสั้นที่สุด"  แต่ฉันว่าอาจมีภาษาอื่น' 
          print "บางคนพูดว่า \"ภาษาไพธอนเป็นภาษาที่เขียนสั้นที่สุด\"  แต่ฉันว่าอาจมีภาษาอื่น" 
          print"-------------------------------------------------------------------"
          poem ="""อันรักใดไหนเล่าเท่ารักแท้                รักของแม่กางปีกหลีกขุนเขา 
          บินเหินฟ้าฝ่าน้ำข้ามลำเนา               โพ้นมวลเหล่าเมฆาท้าตะวัน

    
     สองดวงเนตรสอดส่องป้องลูกน้อย        สองกรรณคอยสดับป้องประคองขวัญ 
          สองแขนอุ้มคุ้มครองป้องชีวัน              หนึ่งใจนั้นเปี่ยมล้ำความห่วงใย"""
          print poem
           print"-------------------------------------------------------------------"
           a = 'Programming'
           print "a = 'Programming'" 
           b = 'Language' 
          print "b = 'Language'" 
          print "a + b -->", a + b 
          print  "a + ' ' + b-->",a + ' ' + b
           print "'-'*55-->", '-'*55

แบบฝึกหัด

ใบงานที่ 1 การเขียนโปรแกรมภาษาไพธอนเบื้องต้น

จุดประสงค์เพื่อ
  1.  สามารถติดตั้งโปรแกรมเครื่องมือพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้วยภาษาไพธอนได้
  2. ใช้โปรแกรมเครื่องมือพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้วยภาษาไพธอนได้
  3. สร้างโปรแกรมประยุกต์ด้วยภาษาไพธอนอย่างง่ายได้ 
คำสั่งที่ 1 ติดตั้งภาษาไพธอน โดยใช้เครื่องมือ software menager (โปรแกรมการจัดการซอฟต์แวร์)

           1.1      Menu ->  โปรแกรมการจัดการซอฟต์แวร์
           1.2      กรอกรหัสผ่าน


           1.3      ค้นหา python
           1.4      ติดตั้ง Python
           1.5      ค้นหา python-tk
           1.6      ติดตั้ง Python-tk
           1.7      ค้นหา geany
           1.8      ติดตั้ง geany

คำสั่งที่ 2 เปิดโปรแกรม geany เขียนโปรแกรม test01.py

           2.1  พิมพ์โปรแกรมดังนี้

             #!/usr/bin/python

             print "Hello, Python!"

          2.2 บันทึกลงที่ โฟลเดอร์ /home/document/test01.py

          2.3 สั่งรันโปรแกรมโดยคลิกที่ icon run



 2.4 ผลการรันโปรแกรมทำให้ Terminal เปิดขึ้นมาแสดงผลของโปรแกรม
คำสั่งที่ 3 เปิดโปรแกรม geany เขียนโปรแกรม test02.py
           3.1  พิมพ์โปรแกรมดังนี้
             #!/usr/bin/python
             import Tkinter
             top = Tkinter.Tk()
             top.mainloop()

          3.2 บันทึกลงที่ โฟลเดอร์ /home/document/test02.py
          3.3 สั่งรันโปรแกรมโดยคลิกที่ icon run
          3.4 ผลการรันโปรแกรมทำให้ Terminal เปิดขึ้นมา และผลการรันโปรแกรมคือ วินโดวส์ tk 


 คำสั่งที่ 5 เขียนสรุปความรู้จากใบงานที่ 1 ลง Blogger

แบบฝึกหัด